วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อนุรักษ์วัฒนธรรมชุมชนบ้านบาตร


ชุมชนบ้านบาตรเป็นชุมชนที่อยู่กลางกรุงเทพมหานคร โดยชุมชนบ้านบาตรอยู่ในพื้นที่แขวงบ้านบาตร  เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย


         เรามาทราบประวัติของชุมชนบ้านบาตรกันก่อนดีกว่าค่ะ บ้านบาตรเป็นหมู่บ้านหัตถกรรมเก่าแก่ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวบ้านบาตรเดิมเป็นชาวกรุงศรีอยุธยาภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่2 ในปี พ.ศ. 2310 แล้ว ชาวบ้านบาตรก็ต้องอพยพหลบหนี เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่1) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากรุงเทพฯเป็นราชธานี ชาวบ้านบาตรจึงมาสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณที่เป็นชุมชนอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนอีกกระแสหนึ่งก็ว่า เดิมนั้นชาวบ้านบาตรเป็นชาวเขมรที่ถูกกวาดต้อนมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มาอยู่อาศัยบริเวณเกาะเขมร ซึ่งเป็นบริเวณกักกันชาวเขมร รัชกาลที่3 ทรงเห็นว่า ชาวเขมรมีฝีมือในการทำบาตรจึงให้การสนับสนุน  ในสมัยก่อนการทำบาตรที่นี่ถือว่าเป็นการทำบาตรด้วยมือแห่งเดียวในประเทศไทยก็ว่าได้ เพราะชาวบ้านเกือบทั้งหมู่บ้านยึดอาชีพการทำบาตรเป็นอาชีพหลัก ชาวบ้านจะนำบาตรที่ผลิตได้ไปส่งขายที่สำเพ็งและย่านเสาชิงช้า ขายได้ใบละไม่ถึงบาท การทำบาตรของชาวบ้านมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ จนกระทั่งสามารถส่งไปขายยังจังหวัดต่างๆ และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง การรวมกลุ่มของชาวบ้านบาตร นอกจากความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นญาติพี่น้องกัน สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ก็เป็นตัวกำหนดให้ชาวบ้านต้องอยู่ในกลุ่มของตน ด้วยมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถขยายพื้นที่ออกไปได้อีก บรรพบุรุษของชาวบ้านจึงมักจะถ่ายทอดวิชาความรู้ในการทำบาตรให้ลูกหลาน การถ่ายทอดวิชาความรู้จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่งให้ได้วิชาความรู้นั้นในการประกอบอาชีพกันต่อๆไปถือเป็นขนบธรรมเนียมไทยอย่างหนึ่งที่มีมาช้านาน  

บาตรพระที่เสร็จสมบูรณ์ ศิลปะบนบาตรพระ
ขอบอกก่อนเลยว่าถ้าเป็นสมัยก่อนนั้นเข้าไปในชุมชนนี้เราจะได้ยินเสียงตีเหล็กดังสนั่นซอยเลยทีเดียวแต่เนื่องด้วยปัจจุบันนี้มีผู้ที่ยังคงประกอบอาชีพทำบาตรพระเหลือเพียง 5 ครอบครัวเท่านั้น เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤตของวงการการทำบาตรพระของชุมชนนี้ก็ว่าได้นะคะ ในการทำบาตรพระของชุมชนบ้านบาตรจะทำด้วยมือทุกชิ้นมีความประณีตบรรจง และจุดเด่นของบาตรพระของชุมชนบ้านบาตร ก็คือเสียงของบาตร ทุกคนคงสงสัยแล้วใช่ไหมคะว่าเสียงบาตรจะเป็นจุดเด่นที่สามารถบอกได้เลยหรือว่านี่คือบาตรของชุมชนบ้านบาตร เสียงบาตรพระของที่นี่นะคะเมื่อใช้ไม้ตีจะมีเสียงดังกังวานเหมือนระฆังเชียวล่ะค่ะ แต่เป็นที่น่าเสียดายคือปัจจุบันมีการทำบาตรปั้มในรูปแบบอุตสาหกรรมเกิดขึ้นทำให้ศิลปะของการทำบาตรพระอาจถูกมองข้ามไปอีกอย่างหนึ่งวิถีชีวิตการทำบาตรเริ่มหมดไปเนื่องจากขาดผู้สืบทอด นอกจากนี้ชุมชนบ้านบาตรยังมีศิลปวัฒนธรรมที่ไม่มีใครทราบมาก่อนนั่นคือ รำวงบ้านบาตร ที่มีมานานหลายช่วงอายุคนแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป 



และเพื่อเป็นการสนับสนุนและอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนบ้านบาตรจึงเกิดเป็นโครงการ1วันเรียนรู้บ้านบาตร โครงการนี้เป็นโครงการที่ทำขึ้นเพื่อการส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนทั้งการทำบาตรพระและรำวงบ้านบาตรเพื่อไม่ให้สูญหายไปจากประเทศไทยโดยการพาน้องชนรุ่นหลังนั่นคือน้องๆนักเรียนชั้นประถามศึกษาจากโรงเรียนอนุบาลวัดปรินายก โรงเรียนในละแวกนั้นไปเรียนรู้วัฒนธรรมของทางชุมชนบ้านบาตร เหตุผลที่เลือกทำกิจกรรมกับน้องๆชั้นประถมศึกษาเพราะว่า เล็งเห็นว่าวัฒนธรรมต่างๆของไทยที่กำลังจะสูญหายไปทุกวัฒนธรรมควรที่จะมีการสานต่อโดยการเผยแพร่ไปสู่ชนรุ่นหลังเพื่อเป็นการไม่ให้วัฒนธรรมเก่าแก่นั้นหายไป และเล็งเห็นว่าการที่ชวนน้องๆมาเข้าร่วมโครงการก็เป็นการเพิ่มความรู้นอกห้องให้กับน้องๆได้นำไปใช้และเป็นประสบการณ์ จากการที่ทำโครงการ1วันเรียนรู้ชุมชนบ้านบาตร โครงการเป็นที่สนใจของทั้งทางชุมชน  โรงเรียน แฟนเพจของเพจ "ท่อง-เที่ยว-ทั่ว-ไทย" และนอกจากนี้ในวันที่ไปทำกิจกรรมก็มีพี่ๆจากนิตยสารรักลูก มาถ่ายภาพการทำกิจกรรมของเรา ซึ่งก็ทำให้เราได้รู้ว่าโครงการของเรานั้นเป็นที่สนใจไม่ใช่น้อยและในการทำกิจกรรมนี้น้องๆที่เข้าร่วมก็ได้ความรู้กลับไป


ภาพการทำกิจกรรม

น้องๆบอกสู้ตาย

น้องๆที่ร่วมโครงการ จากโรงเรียนอนุบาลวัดปรินายก

น้องๆฟังป้ากฤษณากันอย่างตั้งใจ


วีดีโอที่จัดทำขึ้น


ขอฝากชุมชนบ้านบาตรไว้ด้วยนะคะ ถ้าใครสนใจอยากจะเรียนรู้การทำบาตรพระหรือรำวงบ้านบาตรก็สามารถเข้าไปได้ที่ชุมชนบ้านบาตรเลยค่ะ ชุมชนบ้านบาตรเป็นชุมชนเปิดที่พร้อมให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวทุกคนค่ะ







วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

เที่ยวอยุธยากรุงเก่าล้ำค่าเมืองมรดกโลก

"ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานต์กวี คนดีศรีอยุธยา" เห็นคำขวัญนี้ทุกคนก็น่าจะเดาได้แล้วล่ะว่าฉันจะพาไปเที่ยวที่ไหน ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าฉันป็นคนอยุธยาเกิดและโตที่นี่จึงมีความคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี



ก่อนที่จะไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ฉันจะเล่าประวัติของอยุธยาพอสังเขปให้ทุกคนได้ทราบก่อนนะคะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือเรียกสั้นๆ ว่า "อยุธยา" ตั้งอยู่ในภาคกลางเป็นเมืองหลวงเก่าของไทย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1893 โดยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ในเวลา 417 ปีที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีกษัตริย์ปกครอง 33 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทัย ราชวงศ์ปราสาททอง และราชวงศ์บ้านพลูหลวง นับเป็นราชธานีของไทยที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย อยุธยาเป็นราชธานีเก่าแก่กว่า 700 ปี ได้รับรางวัลจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก มีวัดและสถานที่ทางประวัติศาสตร์นับร้อยแห่ง (http://www.ayutthaya.org/) หลังจากที่ทราบประวัติกันไปแล้วต่อจากนี้ฉันก็จะพาทุกคนไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ในอยุธยาตามแบบฉบับของฉันค่ะ การเดินทางมาอยุธยาก็ไม่ยากนะสามารถเดินทางมาได้ทั้งทางรถยนต์ ทางรถโดยสารประจำทาง ทางรถไฟ ฉันขอแนะนำให้เดินทางโดยรถไฟเพราะการนั่งรถไฟทำให้ได้ความรู้สึกสนุกไปอีกแบบหนึ่ง ได้กินลมชมวิวระหว่างทางอะไรจะชิวขนาดนี้หาไม่ได้อีกแล้วล่ะ ถ้ามาตอนเช้าฉันว่าอากาศกำลังดีไม่ร้อนมากเกินไปและถ้าพอมีเวลาอยากจะแนะนำให้ปั่นจักรยานเที่ยวชมโบราณสถานในเกาะเมืองเพราะในเกาะเมืองนั้นมีวัดอยู่หลายแห่งซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่ใกล้เคียงกันและยังจัดว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังของจังหวัดอีกด้วย เอาล่ะฉันพูดมาเยอะไปแล้ว มา ๆ เราไปยังสถานที่แรกกันเลยดีกว่าค่ะ
วัดมหาธาตุ วัดนี้เป็นหนึ่งวัดในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และมีความสำคัญยิ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมธาตุใจกลางพระนคร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นที่พำนักของ สมเด็จพระสังฆราช ฝ่ายคามวาสี จึงได้รับการก่อสร้างและดูแลตลอดเวลาจวบจนถูกทำลายลงหลังเสียกรุงครั้งที่ 2 (http://www.ayutthaya.org/attractions/ayutthaya_city13.html) แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือ ชื่อของวัดมหาธาตุ ยังโด่งดังไปทั่วโลก แต่จะเป็นเพราะอะไรนั้นตามไปดูกันดีกว่า...สิ่งที่ทำให้วัดแห่งนี้กลายเป็นโบราณสถานที่นักท่องเที่ยวต่างต้องพูดถึงก็คงหนีไม่พ้นเศียรพระพุทธรูปหินทราย จุดเด่นก็คือเศียรพระพุทธรูปหินทรายนี้มีรากไม้ต้นโพธิ์ปกคลุมอยู่โดยเศียรพระพุทธรูปนี้เป็นพระพุทธรูปหินทรายเหลือแค่ส่วนเศียรสำหรับองค์พระนั้นหายไปและเป็นเศียรพระพุทธรูปศิลปะอยุธยา วางอยู่ในรากโพธิ์ข้างวิหารราย ทั้งนี้ เข้าใจว่าเศียรพระพุทธรูปนี้จะหล่นลงมาอยู่ที่โคนต้นโพธิ์


เศียรพระพุทธรูปหินทราย 

ในสมัยเสียกรุงจนรากต้นโพธิ์ขึ้นปกคลุมทำให้มีความงดงาม แปลกตาอย่างที่ทุกคนเห็นกันนั่นเอง ด้วยความวิเศษอย่างที่ได้ทราบกันแล้วในข้างต้น วัดนี้จึงเป็นที่นิยมแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอยากที่จะเห็นความสวยงามนี้ด้วยตาของตัวเอง สถานที่ต่อไปเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากทีเดียวโดยเฉพาะชาวต่างชาติสถานที่นี้ก็คือปางช้างอยุธยาแลเพนียด จากที่ฉันพอทราบที่นี่เปิดให้บริการด้วยเจตนารมณ์ที่จะลดปัญหาการเข้ามาเร่ร่อน หากินในเมืองหลวงของช้างและควาญช้าง คุณสมพาสน์ มีพันธุ์ จึงรวบรวมช้าง และควาญช้าง เหล่านั้นเข้าด้วยกัน แล้วทำการฝึกอบรม เพื่อใช้ในการต้อนรับนักท่องเที่ยว



การแสดงช้าง 


จนถึงทุกวันนี้ "ปางช้าง" เปลี่ยนเป็น "วังช้าง" มีช้างในสังกัด 60 เชือก และช้างสมาชิกอีกราว 50 เชือกรวมแล้วมีช้างกว่า 100 เชือกที่หมุนเวียนบริการ นักท่องเที่ยว ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์ ช้างตัวใหญ่ ใจดี ที่แต่งองค์ทรงเครื่องสวยงาม เดินอุ้ยอ้ายพานักท่องเที่ยวเดินชมทิวทัศน์รอบ ๆ กรุงเก่าไม่ว่าเพศไหนวัยไหนต่างก็คงอยากที่จะลองนั่งหลังช้างดูสักครั้งที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่บริการนั่งหลังช้างเท่านั้นนะคะ นอกจากนี้ยังมีการแสดงของเหล่าบรรดาช้างแสนรู้ที่สร้างความน่าประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากทีเดียวถัดจากปางช้างฉันจะพาไปวิหารพระมงคลบพิตรต่อเลยแล้วกันนะคะที่นี่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับปางช้างเลยหากนั่งหลังช้างก็ผ่านบริเวณด้านหน้าวิหารนี้ด้วย พระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูปบุสัมฤทธิ์องค์ใหญ่องค์หนึ่งในประเทศไทยวิหารพระมงคลบพิตรนับได้ว่าเป็นที่ๆนักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมมากราบไหว้ขอพรหลังจากอิ่มหนำจากการได้กราบไหว้พระมงคลบพิตรแล้วยังสามารถแวะเดินชมสินค้าและของฝากมีทั้งของกิน ของใช้ ให้เลือกซื้อมากมายได้ในบริเวณหลังวิหารพระมงคลบพิตร มาถึงตอนนี้ฉันจะพาทุกคนเที่ยวถึง 3 ที่แล้วนะคะ ก่อนที่จะไปสถานที่ถัดไป


ฉันขอแนะนำของฝากที่ขึ้นชื่อของจังหวัดหน่อยแล้วกันนั่นก็คือ โรตีสายไหม นับได้ว่าเป็นของฝากที่ไม่ว่าใครก็ตามที่มาเที่ยวอยุธยาต้องแวะเวียนไปซื้อเพื่อนำไปฝากครอบครัวหรือคนรู้จัก แหล่งที่มีร้านโรตีสายไหมขายเป็นจำนวนมาก คือ บริเวณหน้าโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ซึ่งทุกคนสามารถเลือกสรรได้ตามความพึงพอใจเลย สถานที่ต่อไปเป็นวัดที่มีชื่อเสียงไม่แพ้วัดอื่น ๆ ในอยุธยาเลย นั่นคือ วัดใหญ่ชัยมงคล (http://www.watyaichaimongkol.net/) วัดใหญ่ชัยมงคล เป็นวัดที่เก่าแก่วัดหนึ่งที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นวัดนี้มีวิหารพระพุทธไสยาสน์เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าด้านในก็จะพบวิหารพระพุทธไสยาสน์อยู่ทางซ้ายมือพระอุโบสถภายในมีพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีบริเวณให้นักท่องเที่ยวได้ผ่อนคลาย และ มีบ่อเลี้ยงปลากับเต่า ทุกคนสามารถไปให้อาหารปลากับเต่าได้ในบริเวณนี้ถือเป็นการทำบุญไปในตัว วัดใหญ่ชัยมงคลแห่งนี้ยังเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจจะปฏิบัติธรรมอีกด้วย เรียกได้ว่ามาวัดเดียวมีครบวงจรเหมาะมากสำหรับผู้ที่ชอบศึกษาเกี่ยวกับทางธรรมมาถึงวัดใหญ่ชัยมงคลทั้งทีก็ต้องไปกินก๋วยเตี๋ยววัดใหญ่ด้วย


ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึงนะ ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ตั้งอยู่เยื้องจากหน้าวัดเล็กน้อยทุกคนสามารถมองเห็นได้ทันที แต่ถ้าอยากไปลองกินฉันขอเตือนก่อนนะว่าตอนกลางวันคนเยอะมากๆ เรียกได้ว่าร้านนี้เขาเด็ดจริงๆค่ะทุกคนต้องไปลองให้ได้นะคะ จากที่ฉันพาทุกคนไปรู้จักวัดต่างๆแล้วต่อไปฉันจะพาผ่อนคลายกันบ้างดีกว่า เอาล่ะค่ะสถานที่ต่อไปนี้ก็เป็นสถานที่สุดท้ายแล้วนะคะที่ฉันอยากจะแนะนำ ที่นั่นก็คือตลาดน้ำอโยธยา ว๊าว! แค่เอ่ยชื่อฉันว่าบางคนคงรู้จักที่นี่กันบ้างแล้วล่ะตลาดน้ำอโยธยา เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ จัดได้ว่าเป็นตลาดน้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองอยุธยา ที่นี่เป็นตลาดย้อนยุคแบบโบราณ แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติแบบไทยพื้นบ้านและสายน้ำ จัดแบ่งเป็นโซนๆ ตลาดน้ำอโยธยามีร้านค้ามากถึง 249 ร้าน จุดเด่นอีกเรื่องหนึ่งที่ตลาดน้ำอโยธยาได้นำมารวบรวมไว้ที่นี่ คือการนำชื่ออำเภอทั้งหมดของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทั้งหมด มาตั้งเป็นชื่ออาคาร สถานที่




เพื่อให้ผู้ที่มาเยือนได้รู้จักสินค้าของแต่ละอำเภอ และสามารถจดจำชื่ออำเภอต่างๆของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้เป็นอย่างดี เช่น ตลาดบางซ้าย เครื่องจักรสาน สิ่งที่น่าสนใจในตลาดน้ำอโยธยาก็มี 1.นั่งเรือชมบรรยากาศของตลาดน้ำ ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งเรือชมตลาดน้ำได้อย่างทั่วถึงและได้บรรยากาศไปอีกแบบ 2.เดินชมถ่ายรูปตามมุมและร้านค้าต่างๆ ตลาดน้ำอโยธยา มีมุมสวย น่ารัก ให้เลือกมากมาย ตามร้านค้าต่างก็มีการตกแต่งที่สวยงามเหมือนเป็นสตูดิโอย่อๆก็ว่าได้ 3.ชมการแสดงพื้นบ้านและกิจกรรมต่างๆ 4.ช้อปสินค้านานาชนิด มีให้เลือกมากมายหลากหลายร้านค้าตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า และสินค้าประเภท OTOP เครื่องจักสาน ทุกคนคงเลือกซื้อไม่หวาดไม่ไหวอย่างแน่นอน เกือบลืมไปเลยค่ะในเดือนธันวาคมของทุกปีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการจัดงานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยามรดกโลก ในงานก็จะมีถนนคนเดิน มีร้านค้ามากมาย ทั้งของกิน ของใช้ มีโซนตลาดย้อนยุคให้ทุกคนได้สัมผัสเหมือนตัวเองย้อนเวลาไปเลยทีเดียว ในการจับจ่ายซื้อของก็ต้องแลกอัฐ(เงินสมัยโบราณ)ใช้แทนเงินและที่เป็นไฮไลท์ของงานนี้ก็คือการแสดงแสง สี เสียง การแสดงนี้เป็นการแสดงที่อลังการตื่นตาตื่นใจมาก เนื้อเรื่องที่แสดงก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา การแสดงมีเพียง 2 รอบต่อคืนเท่านั้น การแสดงนี้ชาวต่างชาติก็สามารถดูได้นะคะ เพราะทางงานเขามีหูฟังที่เป็นภาษาอังกฤษไว้ให้ด้วยเขารองรับนักท่องเที่ยวทุกชาติจริงๆค่ะ ถ้าทุกคนมีเวลาช่วงเดือนธันวาคมก็อย่าลืมไปเที่ยวงานอยุธยามรดกโลกกันนะคะ เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคนกับสถานที่ท่องเที่ยวในอยุธยาที่ฉันได้พาทุกคนไปรู้จัก ฉันคิดว่าทุกคนคงอยากหาเวลาไปเที่ยวอยุธยากันบ้างแล้วล่ะ ใช่ไหมล่ะคะ สถานที่ต่างๆที่ฉันได้พาไปนี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแหล่งท่องเที่ยวในอยุธยา อยุธยายังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายในที่นี้ฉันจะบอกเพียงชื่อสถานที่ไว้ให้ เพื่อเป็นการแนะนำให้ทุกคนได้ลองไปเที่ยวชมและถ้าใครคนไหนอยากทราบเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปดูทางเว็บไซต์ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้เลยนะคะ สุดท้ายนี้ในฐานะที่ฉันเป็นคนอยุธยาคนหนึ่งก็ขอเชิญชวนทุกคนให้มาเที่ยวอยุธยากันเยอะๆนะคะถ้าทุกคนได้มาก็จะได้รู้ว่าอยุธยามีของดีอีกมากมายที่ทุกคนไม่เคยรู้



แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆที่แนะนำ
- วัดพระศรีสรรเพชญ์ - วัดไชยวัฒนาราม
- วัดพนัญเชิงวรวิหาร - ตลาดน้ำคลองสระบัว
- วัดพระรามและบึงพระราม - พระราชวังบางปะอิน
- วัดหน้าพระเมรุ - วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร
- วัดพุทไธศวรรย์ - ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร